Taylor Swift จากสาวน้อยคันทรี ก้าวสู่ราชินีเพลงป๊อป ก่อนจะปลดพันธนาการนางงูพิษ พุ่งทะยานด้วยผลงาน
- ศิริณฎา ปิ่นพงษ์
- Nov 2, 2022
- 5 min read
Classic ที่ใคร ๆ ก็ต้องฟัง!

Taylor Alison Swift (เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์) หรือ Taylor Swift (เทย์เลอร์ สวิฟต์) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เกิดวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1989 ที่เมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ตอนที่เธอเรียนอยู่เกรด 4 เธอชนะเลิศการประกวดแต่งกลอนระดับชาติ และเริ่มเขียนเพลงตอนอายุ 10 ปี ก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกาตอนอายุ 14 ปี เทย์เลอร์หลงรักเพลง Country โดยมีศิลปินที่ชื่นชอบอย่าง Shania Twain, LeAnn Rimes, Tina Turner, Dolly Parton และคุณยายซึ่งเป็นนักร้องโอเปรา เธอได้โอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง Big Machine Records ในตอนอายุเพียง 16 ปีและเป็นนักแต่งเพลงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Sony/ATV Music Publishing
โดยอัลบั้มแรกของเธอ ‘Taylor Swift’ เปิดตัวอันดับ 5 ใน Billboard chart 200 และอยู่ในชาร์ทนานที่สุดในทศวรรษ 2000 และซิงเกิล Our Song ขึ้นอันดับ 1 Billboard hot chart ในหมวด Country อัลบั้มต่อมาของเธอ ‘Fearless’ ติดชาร์ท pop cross over และซิงเกิล Love Story ซึ่งเธอแต่งโดยได้แรงบันดาลใจจากนวนิยาย Romeo and Juliet ผสมกับเรื่องราวความรักของเธอ และ You Belong With Me ก็ได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปี 2009 และได้รับรางวัล Grammy Award ถึง 4 รางวัล โดยเธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลเพลงแห่งปีอีกด้วย อัลบั้มต่อมาอย่าง ‘Speak Now’ ซึ่งมีซิงเกิลโปรโมทอย่าง Back To December ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี และซิงเกิล Mean ได้รับรางวัล Grammy Award ถึง 2 รางวัล อัลบั้มต่อมาคือ ‘Red’ Taylor เริ่มเปลี่ยนแนวทางมาเป็นเพลงป๊อป ฟังง่ายติดหูมากขึ้น มีซิงเกิลฮิตอย่าง We Are Never Ever Getting Back Together และ I Knew You Were Trouble ซึ่ง Taylor เองเคยจะมาจัดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยในช่วงที่โปรโมทอัลบั้มนี้ด้วย แต่เพราะเกิดการรัฐประหารขึ้นเสียก่อนทำให้ Taylor ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตไป และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมาประเทศไทยอีกเลย นับเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตนักร้องของ Taylor ที่เธอยกเลิกคอนเสิร์ตอีกด้วย อัลบั้มต่อมาคือ ‘1989’ เป็นอัลบั้มที่มีความปังตั้งแต่ชื่ออัลบั้มที่มาจากปีเกิดของเธอ โดยอัลบั้มนี้มียอดขายได้ล้านอัลบั้มตั้งแต่เปิดตัว ได้รับรางวัล Grammy Award สาขาอัลบั้มแห่งปี ทั้งยังได้รับการยกย่องจาก Billboard ให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของเธอ มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งใน USA, Australia, Canada ถึงสามเพลง ได้แก่ Shake It Off, Blank Space, Bad Blood ซึ่ง ณ ปัจจุบันสองเพลงแรกก็มียอดวิวใน Youtube เกิน 3 พันล้าน และเพลงสุดท้ายมียอดวิว 1.5 พันล้านเข้าไปแล้ว รวมถึงคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ของอัลบั้มนี้ยังเป็นคอนเสิร์ตที่รายได้สูงสุดตลอดกาลอีกด้วย
หลังจากนั้น Taylor ได้ประสบพบเจอเรื่องราวดราม่ามากมายซึ่งทำให้เธอหยุดพักการปล่อยอัลบั้มไปสามปี ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับอัลบั้ม ‘Reputation’ ที่มีซิงเกิล Look What You Made Me Do ซึ่งฉีกแนวจากเพลงก่อน ๆ ไปอย่างสิ้นเชิงทั้งตัวเพลงและลุคของเธอที่ดูร้ายมากขึ้น ราวกับเธอได้ยกระดับจาก Bad Blood ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเพลงเนื้อหาแรง ดนตรีเร้าใจเช่นนี้ เนื้อเพลงมีความจิกกัดเสียดสีคู่กรณีของเธอรวมถึงกระแสสังคมที่ถาโถมใส่เธอ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับว่า เพลงนี้พาเธอกลับมานั่งครองบัลลังก์ราชินีแห่งวงการเพลงได้อย่างสวยงาม ในเวลาต่อมา เธอมีปัญหากับค่ายเพลงเดิมและสุดท้ายได้แยกตัวออกมา หลังออกจากค่ายเพลงเดิมแล้ว Taylor ปล่อยอัลบั้มในนามของตัวเอง ได้แก่ ‘Lover’ ‘Folklore’ และ ‘Evermore’ ตามลำดับ ซึ่งอัลบั้ม Folklore นั้นชนะรางวัล Grammy Award สาขาอัลบั้มแห่งปี ทำให้เธอมีรางวัลสาขานี้ถึง 3 รางวัล นอกจากนี้เธอได้ถูกขนานนามว่าเป็นนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาลโดย Rolling Stones อีกทั้งนิตยสาร Times และ Forbes ยังจัดให้เธอเป็น ‘ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุด’ และเป็นอันดับหนึ่งของ ‘คนดัง 100 คนของ Forbes’ อีกด้วย
สาวปากแดงฮอตแรงเพราะบรรดาแฟนเก่า?
อย่างไรก็ดี Taylor มักจะถูกครหาว่าเพลงดังเพราะว่าเธอชอบนำเรื่องราวความรักของตัวเองมาแต่งเพลง ทำให้ผู้คนต้องไปเสาะแสวงหาว่าเพลงนี้เธอแต่งให้ใคร หรือบางส่วนก็มองว่าควรให้เรื่องความรักเป็นเรื่องส่วนตัวดีกว่านำมาพูดในที่สาธารณะ ซึ่งจะทำให้บรรดาแฟนเก่าของเธอที่จบกันไปนานแล้วต้องมาพลอยรับผลร้ายจากเพลงของเธอด้วย ซึ่งประเด็นนี้ก็มีความจริงอยู่ เพราะ Taylor มักจะแต่งเพลงโดยได้แรงบันดาลใจจากแฟนเก่าทั้งหลายจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณ John Mayer จากเพลง Dear John หรือ Joe Janas จาก Forever & Always, Last Kiss, Better Than Revenge และ Mr. Perfectly Fine คุณ Cory Monteith จากเพลง Mine รวมถึง Taylor Lautner จากเพลง Back to December ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือคุณ Jake Gyllenhaal จากเพลง State of Grace, All Too Well, Girl At Home, The Moment I Knew และยังมีคุณ Conor Kennedy จากเพลง Begin Again สุดท้ายกับหนุ่มหล่อนักร้องคนดัง Harry Styles จากเพลง Style หรือเพลงที่แต่งให้แฟนคนปัจจุบันคือคุณ Joe Alwyn คือ Gorgeous ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงว่าสิ่งที่ Taylor ทำนั้นเหมาะสมหรือไม่เพราะ John Mayer ผู้ถูกพูดถึงในเพลงก็เคยออกมาบอกว่า การเขียนเพลงเช่นนี้เป็น cheap songwriting สำหรับเขา อย่างไรก็ตาม Jake Gyllenhaal ซึ่งพึ่งมีประเด็นเร็ว ๆ นี้จากเพลง All Too Well (10 minute version) ว่าเพลงนี้นั้นเขียนเกี่ยวกับเขา และทำให้เขาดูเป็นคนไม่ค่อยดีนัก ก่อให้เกิดข้อความแสดงความไม่พอใจมากมายจากแฟนเพลง ซึ่ง Jake ก็กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเขา มันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแฟนคลับเท่านั้น ศิลปินก็มักจะใช้ประสบการณ์ส่วนตัวเป็นแรงบันดาลใจ และเขาไม่โกรธแค้นอะไรใครทั้งนั้น แต่เขาก็ได้เน้นย้ำให้ผู้ที่สร้างผลงานออกไปควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ปล่อยให้แฟนเพลงคุกคามผู้อื่นทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งแท้จริงแล้วก็นำมาสู่คำถามที่ว่า หาก Taylor ไม่แต่งเพลงเกี่ยวกับแฟนเก่าของเธอ เธอจะมีอารมณ์ร่วมและมีความคิดสร้างสรรค์ได้ถึงขนาดนี้หรือไม่ และจะมีคนติดตามฟังเพลงขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งเมื่อย้อนดูผลงานของเธอแล้ว เธอก็มิได้แต่งเพลงเกี่ยวกับแฟนเก่าเสียทั้งหมด แต่ถึงแม้เธอจะแต่งเพลงถึงแฟนเก่า ถ้าเธอไม่มีความสามารถทางดนตรี ไม่มีศิลปะการใช้คำ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เธอก็ไม่อาจแต่งเพลงออกมากินใจผู้ฟังจนมียอดขายสูงมากเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ทำให้ผู้สร้างสรรค์งานสามารถอินกับสิ่งที่ตนเองแต่งได้จริง และทำให้เกิดผลงานที่สะท้อนความรู้สึกคนฟังได้เช่นกัน ทางออกสำหรับเรื่องนี้จึงควรอยู่ที่ผู้ฟังว่าควรมองเพลงเหล่านี้เป็นงานศิลปะ และไม่ควรอินมากจนกระทั่งสาดข้อความร้ายแรงแสดงความไม่พอใจของตนจนทำให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อน
นางงูพิษแห่งวงการ?
ฉายานี้เริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ Taylor Swift ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตการทำเพลง เมื่อเธอได้เลิกรากับแฟนเก่า Calvin Harris ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงเช่นเดียวกัน ก่อนที่ต่อมา Calvin จะปล่อยเพลง This is What You Came For feat. Rihanna ซึ่งทีมของนักร้องสาวได้เปิดเผยว่า Taylor ได้ร่วมแต่งเพลงนี้ด้วยในนาม Nils Sjöberg ซึ่ง Calvin ก็ออกมาทวีตข้อความแสดงความไม่พอใจ เขาบอกว่าเขาเขียนเพลงนี้และเรียบเรียงมันด้วยตนเอง Taylor และทีมของเธอไม่ควรทำให้เขาดูแย่ และเขารู้ว่าเธอกำลังหาเป้าหมายใหม่ แต่เขาจะไม่เป็นคนที่ถูก Taylor ฝังลงไปเหมือน Katy แน่นอน (Katy Perry ซึ่งเคยมีเรื่องขัดแย้งกับ Taylor ทำให้เธอแต่งเพลง Bad Blood ออกมา) เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวเน็ตพากันถล่มอิโมจิรูปงูในโซเชียลมีเดียของนักร้องสาว เป็นจุดเริ่มต้นของฉายาที่สร้างความเจ็บปวดให้ Taylor ในเวลาต่อมา
แต่เหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสุมไฟลงบนกองฟาง ทำให้ชื่อของ Taylor กับสัตว์เลื้อยคลานไม่มีขาถูกยกขึ้นมาจับคู่กันแนบแน่นจนแทบแยกไม่ออกก็คือเหตุการณ์ที่ Kanye West แร็ปเปอร์ชื่อดังได้ปล่อยซิงเกิล Famous ออกมาในอัลบั้มใหม่ของเขา โดยมีเนื้อเพลงว่า “I feel like me and Taylor might still have sex/ I made that bitch famous.” (ฉันรู้สึกว่าฉันกับ Taylor อาจจะยังมีเพศสัมพันธ์กัน, ฉันทำให้นังแพศยาคนนั้นดังขึ้นมาล่ะ) ซึ่ง Kanye เองก็เป็นคนที่เคยมีประเด็นกับ Taylor มาก่อนในตอนที่เธอขึ้นรับรางวัล VMAs ในสาขา Best Video by a Female Artist ซึ่ง Kanye ได้ขึ้นไปกล่าวว่า มิวสิควิดีโอของ Beyoncé นั้นเป็นวิดีโอที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งแม้จะมีข้อเท็จจริงเปิดเผยว่าเขาเมาขณะขึ้นไปพูดเช่นนั้น แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์วงการเพลงอยู่ดี
ซึ่งเมื่อ Kanye ปล่อยเพลงไปเช่นนั้น ทำให้ทีมของ Taylor ออกมาบอกว่า นักร้องสาวไม่เคยรู้ว่าเธอจะถูกเรียกว่า bitch เช่นนั้น และยังได้เตือนแร็ปเปอร์หนุ่มถึงเนื้อหาที่มีความเกลียดผู้หญิงหรือ misogynistic อีกด้วย ก่อนที่ต่อมา Kim Kardashian ภรรยาของแร็ปเปอร์หนุ่มในขณะนั้นจะออกมาเผยแพร่คลิปเสียงที่สามีของเธอและ Taylor คุยกัน มีใจความว่า Kanye ได้ขอความยินยอมจาก Taylor แล้วในการจะเขียนเพลงท่อนที่ว่า “I feel like me and Taylor might still have sex” ซึ่งนักร้องสาวให้ความยินยอมโดยบอกว่าเธอถือว่ามันเป็น compliment หรือคำชมสำหรับเธอ อย่างไรก็ดี คลิปดังกล่าวตัดไปก่อนที่จะได้ยินบทสนทนาเพิ่มเติมว่า ในท่อน “I made that bitch famous.” นักร้องสาวได้รับรู้หรือไม่ว่าจะมีเนื้อเพลงท่อนนี้ ซึ่งเมื่อคลิปนี้ปล่อยออกไปในวันที่ 17 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันงูแห่งชาติพอดี ชาวเน็ตก็พากันถล่มคอมเมนต์อิโมจิรูปงูในสื่อโซเชียลมีเดียของ Taylor อย่างหนัก จนต่อมา Instagram ได้เลือกใช้ฟีเจอร์ลบคำบางคำหรืออิโมจิบางตัวที่เหล่าคนดังไม่ต้องการเห็นกับ IG ของ Taylor ก่อนที่ฟีเจอร์จะได้ปล่อยออกมาใช้งานจริงด้วย
หลังจากนั้น Taylor ได้ลบทุกรูปภาพออกจาก instagram และ Tumblr ลบรูปโปรไฟล์และหน้าปกออกจาก Facebook และ Twitter เหลือไว้เพียงรูปสีดำว่างเปล่าที่ชวนให้แฟนเพลงสงสัยว่าเธอต้องการจะสื่อถึงอัลบั้มใหม่หรือเธอกำลังแสดงออกว่าเธอกำลังต้องการความเป็นส่วนตัว อยากพักจากโลกโซเชียล อย่างไรก็ดี เธอได้ลงโพสต์ที่มีความเลือนรางอันเป็นปริศนาและในที่สุดเธอก็ได้ปล่อยอัลบั้ม Reputation ที่มีซิงเกิลหลักอย่าง Look What You Made Me Do ซึ่งแสดงถึงการเสียดสีจิกกัดอย่างเห็นได้ชัด เธอยังได้นำงูที่ผู้คนนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเธอใส่ไว้ในเพลงหลายฉาก รวมทั้งมีวลีเด็ดอย่าง “The old Taylor can’t come to the phone right now.” “Why?” “Cause she’s dead.” (Taylor คนเก่ามารับสายไม่ได้ล่ะ ทำไมน่ะเหรอ เพราะเธอตายไปแล้วน่ะสิ) ซึ่งทำให้ทั้งโลกรู้ว่าไม่ว่าเธอจะโดนมรสุมหนักขนาดไหน เธอก็ยังคงนำกระแสเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้สร้างผลงานชิ้นเอกออกมาให้ตกตะลึงได้เสมอ
Taylor’s Version
หลังจากผ่านพ้นวิกฤติใหญ่ของชีวิตนักร้องซูเปอร์สตาร์ที่หลายคนคิดว่าเธอคงไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว แต่ Taylor ก็พิสูจน์ตัวเองต่อหน้าสายตาคนทั้งโลกว่าเธอแข็งแกร่งกว่าที่ใครคิด และปัญหาใหญ่อีกหนึ่งเรื่องก็ถาโถมเข้ามา เมื่อค่ายเพลงเก่าของ Taylor อย่าง Big Machine Records ถูกผนวกกิจการโดยบริษัท Ithaca Holdings ซึ่งมี Scooter Braun เป็นเจ้าของ โดยที่ลิขสิทธิ์เพลงในอัลบั้มทั้ง 6 ของเธอตั้งแต่ ‘Taylor Swift’ จนถึง ‘Reputation’ นั้นแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ the masters ซึ่งหมายถึงสิทธิในผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ออกมา ในที่นี้คือเพลงที่ผ่านการอัดเสียงเรียบเรียงและออกมาเป็นเพลง digital versions สำหรับ streaming และในรูปแบบ CD ซึ่งส่วนนี้ Big Machine Records จะเป็นเจ้าของ อีกส่วนคือ the publishing rights คือสิทธิในเนื้อเพลง เนื้อเพลงที่ตีพิมพ์ออกมาและทำนองเพลงที่ Taylor เป็นเจ้าของ ซึ่งเมื่อบริษัท Big Machine Records ตกอยู่ในมือของ Scooter แล้ว เขาไม่อนุญาตให้ Taylor แสดงเพลงของเธอเองในงาน AMAs 2019 และไม่ให้ใช้เพลงในสารคดี Netflix “Miss Americana” ซึ่งเป็นเรื่องราวของเธอเองอีกด้วย แม้จะดูไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งสำหรับนักร้องอย่าง Taylor ที่ลงมือแต่งเพลงเอง ค่ายทำเพียงแค่ช่วยจัดจำหน่ายเท่านั้น แต่เมื่อเธอเองได้เซ็นสัญญาอันไม่เป็นธรรมเช่นนี้ไปแล้ว เธอจึงหาทางแก้เผ็ดค่ายด้วยการใช้สิทธิที่เธอมี คือสิทธิในการบันทึกเพลงใหม่ได้ เธอได้ออกมาบอกว่าเธอจะ re-record หรือบันทึกเพลงในอัลบั้มเก่าของเธอใหม่ และตอนนี้เธอก็ได้ออกอัลบั้มที่เธออัดเสียงใหม่คือ Fearless (Taylor’s Version), Red (Taylor’s Version) และซิงเกิล This Love และ Wildest Dreams ซึ่งอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) ยังมียอดขายถึง 6 แสนกว่าอัลบั้มในสัปดาห์แรก เป็นอันดับ 1 ใน the Billboard 200 chart รวมถึงเพลง All Too Well (10 minute version) ที่ Taylor เองได้ทำเป็น short film ออกมาก็ได้รับรางวัล Best Longform Video ในงาน 2022 VMAs อีกด้วย
นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้เธอยังออกอัลบั้มในนามของเธอเองหลังจากออกจากค่ายถึง 3 อัลบั้ม ได้แก่ ‘Lover’, ‘Folklore’ และ ‘Evermore’ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยอัลบั้ม Folklore ยังทำให้เธอคว้ารางวัล Album of the Year จาก Grammy Awards เป็นอัลบั้มที่ 3 ในชีวิตของเธออีกด้วย
Empowering Woman
นอกจากบทบาทในการเป็นนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังแล้ว Taylor ยังเป็นดาราที่ใช้เสียงของตนเองผลักดันประเด็นสังคมต่าง ๆ ให้สาธารณชนรับรู้อยู่เสมอ ทั้งการออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุความรุนแรงและสนับสนุนโครงการ March For Our Lives ออกมาสนับสนุนสมาชิกพรรค Democrat ทั้ง Phil Bredesen ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา และ Jim ให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เธอได้แสดงออกถึงการสนับสนุน LGBTQ+ โดยการเปิดลงชื่อผลักดัน the Equality Act และทำ MV เพลง You Need To Calm Down ที่เต็มไปด้วยสีรุ้งสดใส เธอแต่งเพลง Only The Young เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเปล่งเสียงเพื่อความถูกต้อง เธอออกมาต่อต้านอดีตประธานาธิบดี Donald Trump อย่างชัดเจนด้วยการทวีตข้อความที่ว่า “We will vote you out in November.” (เราจะโหวตคุณออกไปพฤศจิกายนนี้) และยังแต่งเพลง The Man ซึ่งบ่งบอกถึงเส้นทางที่ผ่านมาของเธอที่มักจะโดนดูถูกดูแคลนอยู่เสมอเพียงเพราะเป็นผู้หญิง ต้องถูกคาดหวังจากสังคมให้ประพฤติตนเรียบร้อยแตกต่างจากผู้ชาย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนสังคม feminists อีกทางหนึ่งด้วย
อีกทั้งเธอยังมีคำพูดสร้างแรงบันดาลใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Speech ของเธอในปี 2016 ซึ่งเธอได้รับรางวัล Album of the Year จาก Grammy Awards เธอได้กล่าวว่า “As the first woman to win Album of the Year at the Grammys twice, I want to say to all the young women out there, there will be people along the way who will try to undercut your success,” “Or take credit for your accomplishments or your fame. But if you just focus on the work … you will look around and you will know that it was you and the people who love you that put you there.” (ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล Album of the Year สองครั้ง ฉันอยากจะพูดกับเด็กสาวทุกคนว่า มันจะมีผู้คนมากมายพยายามจะลดทอนคุณค่าความสำเร็จของคุณ หรือแอบอ้างผลงานหรือชื่อเสียงของคุณ แต่ถ้าคุณมุ่งมั่นตั้งใจกับการทำงาน คุณจะมองไปรอบตัวและเห็นว่ามีตัวคุณเองและคนมากมายที่รักคุณผลักดันให้คุณขึ้นมาอยู่จุดนี้) และ Speech ล่าสุดในงานรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของเธอที่ New York University ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับคนทั้งโลก ผสมกับอารมณ์ขันและการเล่นคำในสไตล์ของเธอว่า “Getting canceled on the internet and nearly losing my career gave me an excellent knowledge of all the types of wine," (การถูกแบนจากโลกอินเทอร์เน็ตและแทบจะเสียอาชีพของตนเองไปทำให้ฉันมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับไวน์ทุกชนิดเลยล่ะ) และ "Hard things will happen to us, we will recover, we will learn from it. We will grow more resilient because of it,” "As long as we are fortunate enough to be breathing, we will breathe in, breathe through, breathe deep, (and) breathe out — I'm a doctor now so I know how breathing works." (เรื่องยาก ๆ จะเกิดขึ้นกับเรา เราจะฟื้นตัวกลับมา เราจะเรียนรู้จากมัน เราจะลุกขึ้นยืนใหม่หลังจากความล้มเหลวได้ดีขึ้นเพราะสิ่งนั้น ตราบใดที่เรายังโชคดีพอจะหายใจอยู่ เราจะหายใจเข้า หายใจผ่านเข้าไป หายใจลึก ๆ และหายใจออกมา ฉันเป็นหมอแล้ว (เธอเล่นคำว่า doctor ซึ่งแปลว่าปริญญาเอกและหมอ) ฉะนั้นฉันจึงรู้ว่ากระบวนการหายใจเป็นยังไง) ซึ่งทำให้ทุกคนเห็นว่า เธอผ่านเรื่องราวดราม่ามามากมายแต่ก็ยังฟื้นกลับมาลุกขึ้นใหม่ และยังทะยานไกลยิ่งขึ้นในทุกครั้ง นอกจากเสียงเพลงแล้ว ตัวตนของเธอนี่แหละที่เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แฟนเพลงไม่เคยปล่อยมือจากผู้หญิงคนนี้ได้เลย
และที่สำคัญ วันที่ 21 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา Taylor Swift ได้กลับมาพร้อมกับอัลบั้มชุดใหม่ ‘Midnights’ ซึ่งถูกนิยามว่าเป็นเพลงที่มาจากคืนที่เธอนอนไม่หลับ โดยจะเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์ทั้งเศร้า หวาดกลัว และฝันหวาน โดยเธอยังได้บรรยายว่า “The floors we pace and the demons we face. For all of us who have tossed and turned and decided to keep the lanterns lit and go searching – hoping that just maybe, when the clock strikes twelve… we’ll meet ourselves.” (พื้นที่ที่เราเหยียบย่ำและปีศาจที่เราพบเจอ สำหรับเราทุกคนที่กระสับกระส่าย ตัดสินใจจุดเปลวไฟให้สว่างไสวและออกตามหา คาดหวังเพียงว่า บางครั้งเมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบสองเมื่อไร เราจะได้ค้นพบตนเอง) สะท้อนให้เห็นความเหงาเศร้า แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เธอได้ค้นเจอตนเอง อัลบั้มนี้ยังมีเพลง Snow on the Beach ที่ feat. กับ Lana Del Rey นักร้องหญิงชื่อดังและปัจจุบันเพลงในอัลบั้มนี้ของเธอยังครองทั้ง 10 อันดับแรกใน Billboard Chart 100 ประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนพฤศจิกายน 2565 อีกด้วย ทั้งชาวสวิฟตี้และแฟนเพลงสากลทุกคนอย่าลืมไปฟังเพื่อปลดล็อกสกิลหูเคลือบทองกันนะคะ
เรียกได้ว่าเธอจะยังคงยืนบนเส้นทางสายดนตรีไปอีกยาวนาน และครองหัวใจแฟนเพลงนับร้อยล้านอย่างไม่สิ้นสุด และถึงแม้ว่าจะมีดราม่าใดมาฉุดให้เธอต้องล้มลง เชื่อมั่นได้เลยว่าเธอจะยังคงลุกขึ้นมาสวมมงกุฎพราวระยับ และนั่งบนบัลลังก์งามจับตา ในฐานะผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘Music Industry’ หนึ่งเดียวของโลกคนนี้ ‘Taylor Swift’
เรื่อง : ศิริณฎา ปิ่นพงษ์
พิสูจน์อักษร : ณัฐปภัสร์ เงินวิวัฒน์กูล
ภาพ : ฉัตรลดา ทำสุนา
แหล่งข้อมูล:
Chrissy Callahan. (18 Oct 2565). Jake Gyllenhaal reacts to Taylor Swift’s ‘All Too Well’ — a song believed to be about him. https://www.today.com/popculture/music/jake-gyllenhaal-response-taylor-swift-all-too-well-10-minute-rcna16647
Constance Grady. (18 Oct 2565). How the Taylor Swift-Kanye West VMAs scandal became a perfect American morality tale.
https://www.vox.com/culture/2019/8/26/20828559/taylor-swift-kanye-west-2009-mtv-vmas-explained
Elizabeth Logan. (18 Oct 2565). Read Every Word of Taylor Swift’s Inspiring NYU Graduation Speech. https://www.glamour.com/story/read-every-word-of-taylor-swift-nyu-graduation-speech
Hannah Dailey. (18 Oct 2565). Everything We Know About Taylor Swift’s ‘Midnights’ So Far. https://www.billboard.com/lists/taylor-swift-midnights-everything-we-know/
iCLAW. (18 Oct 2565). Taylor Swift vs The Big Machine: what’s this copyright fight really about? https://iclaw.com/taylor-swift-vs-the-big-machine
Jason Lipshutz. (18 Oct 2565). Here’s How ‘Red (Taylor’s Version)’ Performed Compared to Taylor Swift’s ‘Red’ in Its First Six Months.
https://www.billboard.com/music/pop/taylor-swift-red-taylors-version-comparison-sales-streams-1235073295/
Jest07. (17 ตุลาคม 2565). ประวัติ Taylor Swift นักร้องและนักแต่งเพลงสาวชื่อดังชาวอเมริกัน (มีคลิป). https://music.trueid.net/th-th/detail/P1KMOoLvW3nm
Jurairat N. (1 พฤศจิกายน 2565). Taylor Swift ทำลายสถิติ ครอง 10 อันดับ Billboard คนเดียวจากอัลบั้ม Midnights. https://www.sanook.com/music/2452109/
Kirsten Spruch. (18 Oct 2565). A Timeline of Taylor Swift’s Political Evolution. https://www.billboard.com/music/pop/taylor-swift-political-evolution-timeline-8528527/
Nicki Cox. (18 Oct 2565). Taylor Swift’s dating history: From Jake Gyllenhaal to Tom Hiddleston. https://pagesix.com/article/taylor-swift-dating-history-ex-boyfriends/
PLYER. (17 ตุลาคม 2565). มาดู 8 แฟนเก่า ‘Taylor Swift’ ใครได้เพลงไหนเป็นของขวัญที่ ‘เลิกกัน’ บ้าง!?. https://jelly.in.th/articles/Taylor-Swift-Ex-boyfriend-song
Thaiticketmajor. (17 ตุลาคม 2565). Taylor Swift. https://www.thaiticketmajor.com/artist/taylor-swift.html.
THE STANDARD POP TEAM. (17 ตุลาคม 2565). 9 มิถุนายน 2014 – ครบรอบ 7 ปี คอนเสิร์ต The Red Tour ที่กรุงเทพฯ ของ Taylor Swift ถูกยกเลิก. https://thestandard.co/pop-onthisday09062014/
Comments